วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ไทยโชว์ 25 ตุลาคมนี้ เสนอ หุ่นไทย..หุ่นโลก ตำนานรัก ลาวดวงเดือน

คมสันต์ไทยโชว์เชิญชม หุ่นไทย..หุ่นโลก“ตำนานรัก ลาวดวงเดือน”


ครั้งแรกบนเวทีไทยโชว์และในเมืองไทย ที่สองคณะหุ่นไทยดีกรี ฝีมือระดับโลก “หุ่นสายเสมา”และ “หุ่นช่างฟ้อน โจหน่า” ได้มารวมตัวกันเพื่อสร้างสรรค์งานการแสดงร่วมสมัยชิ้นประวัติศาสตร์ “ตำนานรัก ลาวดวงเดือน” เรื่องราวความรัก ที่มาของบทเพลงไทยอมตะ “ลาวดวงเดือน”

คมสันต์ สุทนต์ ผู้ดำเนินรายการไทยโชว์เล่าให้ฟังว่า
ทางทีมไทยโชว์ได้เชิญคณะ “หุ่นสายเสมา”และ “หุ่นช่างฟ้อน โจหน่า”มาออกรายการ โดยมีโจทย์ใหญ่ให้สมกับเป็นหุ่นไทยดีกรี ฝีมือระดับโลกว่า “จะต้องสร้างเรื่องใหม่และแสดงร่วมกันบนเวทีไทยโชว์” ซึ่งปรากฏว่าหุ่นทั้งสองคณะสามารถแก้โจทย์ได้อย่างลงตัว ด้วยการเลือกเรื่อง ตำนานรัก ลาวดวงเดือน เพราะเป็นเรื่องราวความรักย้อนไปเมื่อ 200 กว่าปีของเจ้านายสยาม “พระองค์เพ็ญ” กับเจ้าหญิงล้านนา “เจ้าหญิงชมชื่น” ซึ่งเป็นที่มาและแรงบันดาลใจก่อเกิดเป็นเพลงอมตะ “ลาวดวงเดือน”

“ประวัติของเพลงลาวดวงเดือน มีอยู่ว่า เมื่อกรมหมื่นพิไชยมหินทโรดมได้เสด็จไปนครเชียงใหม่ และเกิดชอบพอกับเจ้าหญิงชมชื่น พระธิดาองค์โตของเจ้าราชสัมพันธวงศ์และเจ้าหญิงคำย่น ณ ลำพูน ทรงโปรดให้ข้าหลวงใหญ่มณฑลพายัพเป็นเถ้าแก่เจรจาสู่ขอ แต่ได้รับการทัดทาน ทำให้พระองค์โศกเศร้ามาก และได้ทรงพระนิพนธ์เพลงนี้ขึ้น เมื่อใดที่ทรงระลึกถึงเจ้าหญิงชมชื่น ก็จะทรงดนตรีเพลงลาว ลาวดวงเดือน เพลงนี้ มาตลอดพระชนมชีพ” [ข้อมูลจาก www.wikipedia.org]

คมสันต์เล่าเสริมถึงประวัติของสองคณะหุ่นไทย ไปชนะการประกวดหุ่นโลกปีนี้ว่า
คณะหุ่นสายเสมา นำทีมโดยพี่หนืด-นิมิตร พิพิธกุล ศิลปินศิลปาธร สาขาศิลปะการแสดง ปีพ.ศ. 2550 ไปคว้ารางวัลสุดยอดของการประกวดในเทศกาลหุ่นโลก “The Best Traditional Original Performance” จากวรรณกรรมเรื่อง รามเกียรติ์ ตอน ศึกพรหมาสตร์ ส่วนคณะหุ่นช่างฟ้อน ศิลปินโจ-หน่า (โจ- ภาสกร สุนทรมงคล หน่า-ทรัพย์ทวี สุนทรมงคล) นำวรรณกรรมล้านนาเรื่อง “มะเมียะ” มาแสดง ได้รับรางวัลพิเศษ The Most poetic Interpretation มาครอง ในการประกวดเทศกาลหุ่นโลก ครั้งที่ 13 หรือ ที่กรุงปราก สาธารณรัฐเช็ก วันที่ 26-31 พ.ค. ที่ผ่านมาครับ

พลาดไม่ได้ ไทยโชว์ ตอน หุ่นไทย..หุ่นโลก ตำนานรัก ลาวดวงเดือน ครั้งแรกบนเวทีไทยโชว์และในเมืองไทย วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม 2552 เวลา 18.00 น. ชมรายการย้อนหลังได้ทาง www.thaipbs.or.th/Thaishow

คมสันต์ไทยโชว์เชิญชม หุ่นไทย..หุ่นโลก“ตำนานรัก ลาวดวงเดือน”











ไทยโชว์ 25 ตุลาคมนี้ เสนอ หุ่นไทย..หุ่นโลก ตำนานรัก ลาวดวงเดือน


ครั้งแรกบนเวทีไทยโชว์และในเมืองไทย ที่สองคณะหุ่นไทยดีกรี ฝีมือระดับโลก “หุ่นสายเสมา”และ “หุ่นช่างฟ้อน โจหน่า” ได้มารวมตัวกันเพื่อสร้างสรรค์งานการแสดงร่วมสมัยชิ้นประวัติศาสตร์ “ตำนานรัก ลาวดวงเดือน” เรื่องราวความรัก ที่มาของบทเพลงไทยอมตะ “ลาวดวงเดือน”

คมสันต์ สุทนต์ ผู้ดำเนินรายการไทยโชว์เล่าให้ฟังว่า
ทางทีมไทยโชว์ได้เชิญคณะ “หุ่นสายเสมา”และ “หุ่นช่างฟ้อน โจหน่า”มาออกรายการ โดยมีโจทย์ใหญ่ให้สมกับเป็นหุ่นไทยดีกรี ฝีมือระดับโลกว่า “จะต้องสร้างเรื่องใหม่และแสดงร่วมกันบนเวทีไทยโชว์” ซึ่งปรากฏว่าหุ่นทั้งสองคณะสามารถแก้โจทย์ได้อย่างลงตัว ด้วยการเลือกเรื่อง ตำนานรัก ลาวดวงเดือน เพราะเป็นเรื่องราวความรักย้อนไปเมื่อ 200 กว่าปีของเจ้านายสยาม “พระองค์เพ็ญ” กับเจ้าหญิงล้านนา “เจ้าหญิงชมชื่น” ซึ่งเป็นที่มาและแรงบันดาลใจก่อเกิดเป็นเพลงอมตะ “ลาวดวงเดือน”

“ประวัติของเพลงลาวดวงเดือน มีอยู่ว่า เมื่อกรมหมื่นพิไชยมหินทโรดมได้เสด็จไปนครเชียงใหม่ และเกิดชอบพอกับเจ้าหญิงชมชื่น พระธิดาองค์โตของเจ้าราชสัมพันธวงศ์และเจ้าหญิงคำย่น ณ ลำพูน ทรงโปรดให้ข้าหลวงใหญ่มณฑลพายัพเป็นเถ้าแก่เจรจาสู่ขอ แต่ได้รับการทัดทาน ทำให้พระองค์โศกเศร้ามาก และได้ทรงพระนิพนธ์เพลงนี้ขึ้น เมื่อใดที่ทรงระลึกถึงเจ้าหญิงชมชื่น ก็จะทรงดนตรีเพลงลาว ลาวดวงเดือน เพลงนี้ มาตลอดพระชนมชีพ” [ข้อมูลจาก http://www.wikipedia.org/]

คมสันต์เล่าเสริมถึงประวัติของสองคณะหุ่นไทย ไปชนะการประกวดหุ่นโลกปีนี้ว่า
คณะหุ่นสายเสมา นำทีมโดยพี่หนืด-นิมิตร พิพิธกุล ศิลปินศิลปาธร สาขาศิลปะการแสดง ปีพ.ศ. 2550 ไปคว้ารางวัลสุดยอดของการประกวดในเทศกาลหุ่นโลก “The Best Traditional Original Performance” จากวรรณกรรมเรื่อง รามเกียรติ์ ตอน ศึกพรหมาสตร์ ส่วนคณะหุ่นช่างฟ้อน ศิลปินโจ-หน่า (โจ- ภาสกร สุนทรมงคล หน่า-ทรัพย์ทวี สุนทรมงคล) นำวรรณกรรมล้านนาเรื่อง “มะเมียะ” มาแสดง ได้รับรางวัลพิเศษ The Most poetic Interpretation มาครอง ในการประกวดเทศกาลหุ่นโลก ครั้งที่ 13 หรือ ที่กรุงปราก สาธารณรัฐเช็ก วันที่ 26-31 พ.ค. ที่ผ่านมาครับ

พลาดไม่ได้ ไทยโชว์ ตอน หุ่นไทย..หุ่นโลก ตำนานรัก ลาวดวงเดือน ครั้งแรกบนเวทีไทยโชว์และในเมืองไทย วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม 2552 เวลา 18.00 น. ชมรายการย้อนหลังได้ทาง www.thaipbs.or.th/Thaishow

วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2552

นวิน ชื่นจำนง DJ 935HD1

นวิน ชื่นจำนง DJ 935HD1

วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2552

คมสันต์ไทยโชว์ เชิญชม หนังปราโมทัย-รามเกียรติ์”

ข่าวประชาสัมพันธ์
ไทยโชว์-หนังปราโมทัย อาทิตย์ที่ 4 ตุลาคมนี้

กลับมาอีกครั้ง กับพ่อสังวาลย์ ผ่องแผ้ว หัวหน้าคณะเพชรหนองเรือ แต่ครั้งนี้ไม่ได้มาโชว์หุ่นกระบอกอีสานแต่เป็นการแสดง “ หนังปราโมทัยหรือประโมทัย” การแสดงพื้นบ้านอีกอย่างของภาคอีสาน ที่น่าสนใจ และจะเรียกเสียงหัวเราะของท่านผู้ชมได้อีกครั้งอย่างแน่นอน

คมสันต์ สุทนต์ ผู้ดำเนินรายการไทยโชว์ กล่าวว่า
“หลังจากที่รายการไทยโชว์ออกอากาศ ตอน หุ่นกระบอกอีสาน คณะเพชรหนองเรือ ไป ทางรายการก็ได้รับผลตอบรับอย่างดี และมีคุณผู้ชมเรียกร้องให้ นำเสนอ หนังปราโมทัยหรือประโมทัย คณะเพชรหนองเรือ ผมและทีมงานจึงอดใจไม่ได้ต้องเชิญพ่อสังวาล ผ่องแผ้วและคณะเพชรหนองเรือ มาแสดงบนเวทีไทยโชว์อีกครั้ง เพื่อเรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มให้กับท่านผู้ชม”
หนังปราโมทัยหรือหนังตะลุงอีสาน คำว่า “ปราโมทัย” สันนิษฐานกันว่าน่าจะมาจากคำว่า ปราโมทย์ ที่หมายถึง ความบันเทิงใจ แล้วก็เรียกเพี้ยนกันมาเป็นปราโมทัย การแสดงปราโมทัยนั้นจะเริ่มจากการไหว้ครู การโหมโรง การประกาศชื่อเรื่อง การออกรูปฤาษี การเชิด และดำเนินตามเนื้อเรื่อง จนถึงฉากจบ ซึ่งทำนองการพากย์หนังปราโมทัยจะประกอบด้วย ทำนองร้องที่เป็นภาษาภาคกลาง มีเอื้อนเกริ่นนำ และทำนองร้องแบบหมอลำที่เป็นภาษาอีสาน บทเจรจาก็จะใช้ภาษาแตกต่างกันออกไป ตัวพระนางและยักษ์ จะเจรจาเป็นภาษากลาง ส่วนบทเจรจาภาษาถิ่นอีสานจะใช้กับตัวตลก เสนา และบริวาร
คมสันต์ สุทนต์ ยังกล่าวต่ออีกว่า
“จุดเด่นของหนังปราโมทัยอยู่ที่อารมณ์ขันของตัวหนัง ซึ่งอยู่ที่ความสามารถของผู้เชิด ที่จะแทรกอารมณ์ขันในเนื้อเรื่อง เพราะฉะนั้นตัวละครที่มีบทบาทสำคัญในหนังปราโมทัยคือ ตัวตลก ซึ่งตัวตลกพ่อสังวาลย์เป็นคนเชิดเอง และสามารถเรียกเสียงหัวเราะจากชาวบ้านและเด็กๆ รวมทั้งทีมงานในห้องส่งได้อย่างไม่ขาดสาย”

นอกจากพ่อสังวาลย์จะเชิดหนังปราโมทัยเพื่อเลี้ยงชีพแล้ว พ่อสังวาลย์ยังถ่ายทอด ศิลปะการเชิดหนังตะลุงให้กับเด็กๆที่มีใจรักในการเชิดหนังปราโมทัย โดยสอนตั้งแต่การสร้างตัวหนัง จนวิธีการร้อง การเจรจา และการเชิด ทำให้พ่อก็เป็นที่รู้จักและเป็นที่รักของเด็กๆและชาวบ้านอำเภอหนองเรือ จังหวัดขอนแก่น

หนังปราโมทัย เรื่อง รามเกียรติ์ ตอนศึกไมยราพ คณะเพชรหนองเรือจะม่วนซื่นเพียงใด ต้องติดตามชมรายการไทยโชว์ ตอน หนังปราโมทัย “คณะเพชรหนองเรือ”วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน 2552 เวลา 18.00 – 19.00 น. และชมซ้ำอีกครั้งในวันจันทร์ที่ 5 กันยายนนี้ เวลา 10.04 น.ทางช่องทีวีไทย (ไทยพีบีเอส) แนะนำโชว์ได้ทาง thaishowtv@hotmail.com

วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2552

ไทยโชว์ตอน ฟ้อนสาวไหม อาทิตย์ 27 กันยายนนี้


ข่าวประชาสัมพันธ์
คมสันต์ไทยโชว์เชิญชม ฟ้อนสาวไหมต้นฉบับ-แม่ครูบัวเรียว

คมสันต์และรายการไทยโชว์อาทิตย์ที่ 27 กันยายนนี้ จะพาคุณผู้ชมเดินทางไปดูศิลปะการแสดงจังหวัดที่อยู่เหนือสุดของประเทศไทย นั่นก็คือ จังหวัดเชียงราย มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ทางทีมงานจะตามน้องๆนักศึกษากลุ่มหนึ่งที่กำลังจะออกเดินทางจากมหาวิทยาลัยไปเรียน ศิลปะการแสดงฟ้อนสาวไหมที่บ้านแม่ครูบัวเรียว

“แม่ครูบัวเรียว (สุภาวสิทธิ์ รัตนมณีภรณ์) เล่าให้ฟังว่ามักเข้าใจผิดว่า ฟ้อนสาวไหม ดัดแปลงมาจากการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม เพื่อนำมาทอเป็นผ้าไหม แต่ความจริงแล้วคำว่า “ไหม” ในภาษาล้านนา หมายถึงเส้นด้าย และหากดูจากสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ ของชาวล้านนา ก็จะเห็นว่านิยมปลูกต้นฝ้าย เพื่อใช้ทอเป็นผืนผ้า ดังนั้นฟ้อนสาวไหม จึงหมายถึงการฟ้อนที่ประดิษฐ์มาจากกระบวนการทอผ้าฝ้ายนั่นเอง”

ตามนักศึกษามาถึงบ้านแม่ครูบัวเรียว ได้เห็นแม่ครูฟ้อนสาวไหมครั้งแรกทีมงานรายการไทยโชว์ถึงกับตะลึงถึงความอ้อนช้อยสวยงาม และละเมียดละไม จนสามารถจินตนาการเห็นเครื่องปั่นฝ้ายและการดึงฝ้ายแต่ละเส้นๆ เห็นเป็นขั้นตอนตั้งแต่การเก็บฝ้าย ปั่นฝ้าย จนกระทั่งการทักทอฝ้ายเป็นผืนได้เลยทีเดียว โดยเสน่ห์ที่ดึงดูดทุกสายตาของคนดูในการฟ้อนสาวไหมอยู่ที่ใบหน้าของแม่ครูบัวเรียวที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขในการปั่นทอฝ้าย

คมสันต์ สุทนต์ ผู้ดำเนินรายการไทยโชว์ ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า
“แม่ครูบัวเรียวเป็นต้นกำเนิดฟ้อนสาวไหม ซึ่งท่านผู้ชมสามารถชมการแสดงต้นฉบับฟ้อนสาวไหมได้อย่างสมบูรณ์แบบในรายการไทยโชว์ ซึ่งนอกจากต้นฉบับบแล้วยังเห็นวิวัฒนการของฟ้อนสาวไหมที่วิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่ ได้ดัดแปลงประยุกต์ออกมาเป็นการแสดงที่สวยงามอีกด้วย”

“ฟ้อนสาวไหมนอกจากจะเป็นการแสดงที่เกิดขึ้นจากการวิถีชีวิตของชาวบ้านแล้ว ยังแฝงไปด้วยปรัชญาการดำเนินชีวิต ว่า ชีวิตมนุษย์ทุกชีวิตต้องพบอุปสรรคมากมาย ดังเช่นการสาวไหมต้องเจอปม เมื่อคลี่ปมออกให้เป็นเส้นและถักทอเป็นผืนผ้าได้สวยงามก็เปรียบดังชีวิตที่ต้องต่อสู้ฝ่าฟันด้วยความเพียรพยายามและความอดทนเพื่อให้ผ่านพ้นอุปสรรคและปัญหาต่างๆ ไปได้”

คมสันต์สรุปปิดท้ายถึงฟ้อนสาวไหม
ที่นอกจากจะให้ความบันเทิงแล้วยังให้ประโยชน์กับสุขภาพ..

“..การฟ้อนสาวไหมได้ทั้งแง่คิดดีๆให้กับชีวิตและยังได้ฝึกสมาธิในการร่ายรำให้อ่อนช้อย แถมการฟ้อนสาวไหมยังสามารถดัดแปลงเป็นการออกกำลังกาย ทำให้ร่างกายแข็งแรงได้อย่างแม่ครูบัวเรียว”

อย่าลืมติดตามชมรายการไทยโชว์ ตอน ฟ้อนสาวไหม วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน 2552 เวลา 18.00 – 19.00 น. และชมซ้ำอีกครั้งในวันจันทร์ที่ 28 กันยายนนี้ทางช่องทีวีไทย (ไทยพีบีเอส) แนะนำโชว์ได้ทาง ThaiShow@thaipbs.or.th

วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2552

คมสันต์ไทยโชว์ประกบสองสาวล้านนา ช่างฟ้อนเชียงใหม่

ข่าวประชาสัมพันธ์
คมสันต์ไทยโชว์ประกบสองสาวล้านนา ช่างฟ้อนเชียงใหม่
รายการไทยโชว์ ตอน ช่างฟ้อนวิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่
รายการไทยโชว์ วัน อาทิตย์ ที่ 13 กันยายน 2552 จะพาคุณผู้ชมไปรู้จักกับการฟ้อนแบบต่างๆของชาวล้านนา โดยพิธีกรคมสันต์ สุทนต์ จะพาไปยังวิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่ ซึ่งพิธีกรในรายการครั้งนี้จะไม่ได้มีแค่คมสันต์คนเดียว แต่จะมีน้องๆนักศึกษาสาววิทยาลัยนาฏศิลป เชียงใหม่ 2 คน คือ น้องโบว์ (จริยา ถานะวร) กับ น้องจ๋า (เขมิกา ศรีแก้ว) ประกบคู่พิธีกร ทำหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์ พารายการไทยโชว์ไปรู้จักกับการแสดงฟ้อนของชาวล้านนา

โดยเริ่มจากฟ้อนที เป็นการแสดงฟ้อนที่ใช้ร่มเป็นอุปกรณ์ประกอบการแสดง และที่เรียกว่าฟ้อนที เพราะคำว่า ที เป็นภาษา “ไต” ที่มีความหมายว่า ร่ม นั่นเอง พอรู้จักกับฟ้อนทีกันแล้วน้องโบว์กับน้องจ๋าก็พาเราเดินลัดเลาะอาคารไปรู้จัก ฟ้อนกมผัด เป็นการแสดงฟ้อนโคมหมุน นับเป็นการแสดงออกทั้งทางสติปัญญาและความศรัทธาอันแก่กล้าต่อพระพุทธศาสนาของชาวล้านนา โคมผัดจะตกแต่งด้วยกระดาษตัดเป็นรูปต่างๆ เช่น ลายพระธาตุปีเกิด 12 นักษัตร และ วิถีชีวิตชาวล้านนา ที่น่าทึ่ง คือ การหมุนของโคมโดยใช้แรงความร้อน ไม่ใช่มอเตอร์แต่อย่างใด ซึ่งจะจัดการแสดงในงานประเพณียี่เป็ง
เดินต่อไปยังศาลาริมน้ำเพื่อไปดูการแสดง ฟ้อนเมือง ซึ่งฟ้อนเมืองเป็นการแสดงที่บ่งบอกเอกลักษณ์ของเมืองเหนือ และที่มีชื่อเรียกกันหลายอย่างนั้นก็ขึ้นอยู่กับโอกาสในการฟ้อน แต่ที่จริงแล้วมีท่าฟ้อนแบบเดียวกัน ส่วนการแต่งกายผิดกันเล็กน้อยตามโอกาส เช่น ฟ้อนเล็บ เป็นการฟ้อนของคนพื้นเมืองฟ้อนได้ทั้งชายและหญิง ถ้าเป็นหญิงฟ้อนจะสวมเล็บมือทำด้วยทองเหลือง(เดิมทำด้วยทองคำ)ขณะฟ้อน ถ้าผู้ชายฟ้อนจะไม่สวมเล็บ ซึ่งฟ้อนเล็บจะฟ้อนในเวลากลางวัน ส่วนฟ้อนเทียน(ฟ้อนเตียน) ใช้ฟ้อนเวลากลางคืน ผู้แสดงเป็นหญิงล้วน แต่งกายแบบพื้นเมืองเหนือ จำนวนผู้ฟ้อนไม่แน่นอนแล้วแต่ความสวยงาม
ยังไม่หมดแค่นี้ ยังมีฟ้อนม่านมุ่ยเซียงตาชาย-หญิง และระบำซอ เป็นฟ้อนประดิษฐ์ของ พระราชชายาเจ้าดารารัศมี พระราชชายาในรัชกาลที่ 5 ทางวิทยาลัยนาฏศิลป เชียงใหม่ได้สืบทอดมาสอนให้กับเยาวชนรุ่นใหม่
นอกจากฟ้อนเหล่านี้ยังมีฟ้อนอื่นๆอีกมากมาย แต่น่าเสียดายหมดเวลาเสียก่อนต้องขอบคุณน้องโบว์กับน้องจ๋า ที่พารายการไทยโชว์ไปซอกแซกในวิทยาลัยนาฏศิลป เชียงใหม่ ทำให้รายการไทยโชว์ได้พาคุณผู้ชมไปสัมผัสถึงความสวยงามและอ่อนช้อยของฟ้อนชาวล้านนา
“คมสันต์ ได้ทิ้งท้ายไว้ว่า เชียงใหม่เป็นเมืองที่ผมอยากอยู่นานๆ เพราะยังมีศิลปะการแสดงอีกนับร้อย รอคิวออกรายการไทยโชว์”
ติดตามชมรายการไทยโชว์ ตอน ช่างฟ้อนวิทยาลัยนาฏศิลปเชียงใหม่ วันอาทิตย์ที่ 13กันยายน 2552 เวลา 18.00 – 19.00 น. ทางช่องทีวีไทย(ไทยพีบีเอส)

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552

คมสันต์ สุทนต์พารายการไทยโชว์เดินทางสู่ดินแดนล้านนา

คมสันต์ สุทนต์พารายการไทยโชว์เดินทางสู่ดินแดนล้านนา เพื่อค้นหาศิลปะการแสดงของล้านนา และการค้นหาครั้งนี้ทำให้รายการไทยโชว์ได้พบกับทรัพยากรบุคคลที่มีคุณค่า ดูภายนอกก็เป็นเหมือนคุณตาใจดีธรรมดาคนหนึ่ง แต่เมื่อได้สัมผัส พูดคุยย้อนประสบการณ์ชีวิตอันเชี่ยวกรากและมองลึกเข้าไปจะเห็นหัวใจที่เป็นเลือดศิลปินผู้มีจิตวิญญาณของความเป็นครู ผู้ถ่ายทอดศิลปะการแสดงชั้นยอด นั่นคือ พ่อครูพันหรือมานพ ยาระณะ ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง(การแสดงพื้นบ้าน-ช่างฟ้อน) พ.ศ.2548 พ่อครูพันเป็นผู้มีความรู้เรื่องกลองล้านนา ไม่ว่าจะเป็นกลองชัยมงคล กลองสะบัดชัย กลองบูชา กลองมองเซิง กลองปู่เจ ซึ่งพ่อครูพันได้เล่าตำนานของกลองชัยมงคลให้ฟังว่า “ครั้งหนึ่งขณะที่บ้านเมืองสงบสุข วันหนึ่งมียักษ์ตาทิพย์ลงมากินคน 1 คนในวันถือศีล มนุษย์จึงตีกลองร้องทุกข์กับพระอินทร์ พระอินทร์จึงแปลงกายลงมาเป็นคนธรรมดา ตอนนั้นยักษ์ได้กินคนไปแล้วหนึ่งคน แล้วจะกินผู้หญิงอีกนางหนึ่งพระอินทร์จึงท้าพนันกับยักษ์ว่า ถ้าศีลหน้า(วันพระหน้า)ยักษ์ไม่เจอนางคนนี้ให้เลิกกินคนตลอดไป ยักษ์ก็ตกลงรับคำท้าเพราะเชื่อว่าตนต้องหาเจอ เพราะว่าตนเป็นยักษ์ตาทิพย์ พระอินทร์ได้สร้างคาถาและเอานางซ่อนในกลอง และตีกลองและตีคาถาธรรมว่า “พุธโธกัณหะ ธรรมโมกัณหะ สังโฆกัณหะ” เมื่อยักษ์หานางไม่เจอจึงยอมแพ้ และไม่มากินมนุษย์อีก และพระอินทร์ก็ได้ชี้บอกชาวบ้านว่านี่คือกลองจัยมงคลหรือกลองชัยมงคล” เพราะเหตุนี้พ่อครูพันจึงมีวิธีการสอนที่สอดแทรกด้วยคติธรรม และคาถาธรรม ก่อนเข้าเรียนทุกครั้งผู้เรียนต้องสวดมนต์ ไหว้พระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ผู้เรียนต้องปฏิบัติตนอยู่ในศีลธรรมสอันดี นอกจากพ่อครูพันจะมีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับกลองล้านนาแล้วยังเป็นผู้เชี่ยวชาญการฟ้อนและศิลปะการต่อสู้อีกด้วย ซึ่งในอดีตพ่อครูพันก็เป็นนักมวยที่มีฉายาว่า “พันลูกชาวเหนือ” และเปิดค่ายมวยคล่องประชันและพันศักดิ์ ทั้งนี้ความรู้เกี่ยวกับศิลปะการแสดงและศิลปะการต่อสู้ที่พ่อครูพันนั้นมี ก็ไม่ได้ถูกหวงแหนหรือเก็บรักษาไว้กับตัว พ่อครูได้เผยแพร่และถ่ายทอดความรู้ให้ชาวบ้าน และเยาวชนที่ใฝ่หาความรู้ คุณผู้ชมจะเห็นได้ในการแสดงบนเวทีไทยโชว์ว่าลูกศิษย์ของพ่อครูพันที่จะมาตีกลองประกอบกับการแสดงฟ้อนต่างๆเช่น การตีกลองชัยมงคลประกอบการแสดงฟ้อนผางประทีป การตีกลองบูชาประกอบการแสดงฟ้อนดอกบัว เป็นต้น นั้นมีทุกเพศทุกวัย และแต่ละคนเมื่อเรียนกับพ่อครูพันแล้วก็สามารถไปถ่ายทอดได้อีก จากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง คมสันต์พูดทิ้งท้ายไว้อย่างภูมิใจว่า “การได้มาสัมผัสชีวิตศิลปินแห่งชาติ พ่อครูพันอย่างใกล้ชิดและได้เปิดหูเปิดตาสัมผัสความอลังการหลากหลายของกลองล้านนา ทำให้ผมมั่นใจกล้าพูดเต็มปากครับว่า กลองไทยของเรายิ่งใหญ่ไม่แพ้ใครในโลก และศิลปะการตีกลองล้านนา การแสดงฟ้อนต่างๆของล้านนาที่ถูกถ่ายทอดโดยพ่อครูพันจะไม่หายไปอย่างแน่นอน เพราะเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 50 ปี แล้วที่พ่อครูได้ถ่ายทอดให้กับลูกศิษย์ และจนวันนี้พ่อครูพันก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะถ่ายทอดความรู้จนกว่าจะหมดลมหายใจ” ติดตามชมรายการไทยโชว์ ตอน ล้านนาเภรี วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม 2552 เวลา 18.00 – 19.00 น. ทางช่องทีวีไทย(ไทยพีบีเอส)

วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2552

คมสันต์ชวนแฟนรายการไทยโชว์ชม ดิเกร์ฮูลู 23 สิงหาคมนี้


รายการไทยโชว์ 23 สิงหาคม-เสนอ ดิเกร์ฮูลู เฉลิมพระเกียรติ

ไทยโชว์ เชิญชมดิเกร์ฮูลูเยาวชนตัวน้อยๆ คณะศรีราชวังจะบังติกอ ที่เพิ่งชนะเลิศในโครงการ “ดิเกร์ฮูลู เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ” เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม ที่ผ่านมา
“เป็นครั้งที่สองแล้วครับ ที่รายการไทยโชว์ ได้มีโอกาสเปิดเวทีต้อนรับการแสดงดิเกร์ฮูลู
ครั้งนี้จะต่างจากครั้งแรก ตรงที่น้องๆเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่มาในครั้งนี้อยู่ในระดับประถมศึกษา
เรื่องความสามารถอาจไม่เข้มข้นเท่ารุ่นผู้ใหญ่ แต่ถ้าพูดถึงความสดใสสนุกสนานแล้วต้องถูกใจคุณผู้ชมแน่นอน ซึ่งทีมงานได้ติดตามถ่ายทำกิจกรรมการแสดงของน้องๆที่มาโชว์ที่กรุงเทพฯ ตลอดสัปดาห์ แบบครบรส ไม่ว่าจะไปโชว์ที่สวนสัตว์ดุสิต หรือแม้กระทั่งคืนที่ไปแลกเปลี่ยนประสบการณ์ศิลปะกับคณะหุ่นละครเล็ก ฯ เหมือนกับเราได้เดินทางไปพร้อมๆกับน้องๆเลยครับ”

คมสันต์ สุทนต์ กล่าวถึงการแสดงโชว์ในครั้งนี้

“ดิเกร์ฮูลู เป็นศิลปะการร้องประกอบดนตรีพื้นบ้านของพี่น้องชาวไทยมุสลิมภาคใต้ ที่มีการสันนิษฐานว่า ได้รับอิทธิพลมาจากพ่อค้าเปอร์เซียที่นับ ซึ่งเดินเรือมาค้าขายในแถบแหลมมลายู พร้อมกับเผยแพร่ศานาอิสลาม ..โชว์ในครั้งนี้มีจุดสนใจอย่างหนึ่งที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ นั่นคือรูปแบบการนั่งแสดงซึ่งเป็นนั่งแบบครุฑถวาย ซึ่งเป็นการนั่งแสดงแบบโบราณที่ใช้เฉพาะเล่นสดุดีบุคคลสำคัญเท่านั้น เพราะปกติก็จะนั่งแสดงกันแบบ นกยูงพังเพย และจงอางฟักไข่ เท่านั้น”

พลาดไม่ได้ รายการไทยโชว์ ตอน ดิเกร์ฮูลู เฉลิมพระเกียรติ วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม 2552 เวลา 18.00 น. ทางทีวีไทย (ไทยพีบีเอส)

วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Balance Trip..ชวนเพื่อนรักไปนับแกะ” ณ The Scenery Resort


คลื่น 90 balance FM (90 บาลานซ์ เอฟเอ็ม) คลื่นเดียวที่การันตีวิธีเติมความบาลานซ์ให้ชีวิต ล่าสุดเปิดประสบการณ์ใหม่ !!! ให้คุณชวนเพื่อนรักไปพักสบาย ๆ พร้อมเติมแรงบันดาลใจ ร่วมกับ ชิน ชินวุฒิ ใน “Balance Trip..ชวนเพื่อนรักไปนับแกะ” ณ The Scenery และ Nagaya Resort ฟังวิธีร่วมทริปได้ทุกช่วงดีเจ ทางคลื่น 90 balance FM ติดตามได้ทุกช่วงดีเจ , ทาง www.90balance.com หรือสอบถาม 02-530-9800-8 ตลอดกรกฏาคมนี้ ใครอยากบาลานซ์ชีวิต ห้ามพลาด !

คมสันต์ สุทนต์ : ให้ข่าวจ้า

วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

คมสันต์ สุทนต์ พิธีกรไทยโชว์ เชิญชมโชว์อีสานใต้ “ดงมันรักกันตรึม”

ข่าวประชาสัมพันธ์
คมสันต์ สุทนต์ พิธีกรไทยโชว์ เชิญชมโชว์อีสานใต้ “ดงมันรักกันตรึม”


ตามคำเรียกร้องของพี่น้องชาวอีสานใต้ และแฟนรายการไทยโชว์ที่อยากชมศิลปะการแสดงพื้นบ้าน “กันตรึม” คมสันต์ สุทนต์ พิธีกรหนุ่มอารมณ์ดี เลยเชื้อเชิญวงกันตรึมเยาวชนที่ชนะเลิศถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ปี2552 คณะ“ดงมันรักกันตรึม” มาวาดลวดลายความมัน บนเวทีไทยโชว์ วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคมนี้

“ดงมันรักกันตรึม” เป็นวงกันตรึม(ดั้งเดิม)ที่มีชื่อเสียงมากในจังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ และศรีสะเกษ (สามจังหวัดในแดนอีสานใต้) มีอาจารย์โฆษิส ดีสม และคุณน้ำผึ้ง เมืองสุรินทร์เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในการควบคุมดูแลและถ่ายทอดวิชา ล่าสุดก็พาลูกหลานเยาวชนเข้าประกวดแล้วได้รับรางวัลชนะเลิศถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ปี 2552 ทั้งนี้ด้วยความมาแรงของ “ดงมันรักกันตรึม” และกระแสเรียกร้องของแฟนรายการฯ เราเลยเชิญมารายการไทยโชว์ ครับ
คมสันต์ สุทนต์ เกริ่นนำพอสังเขป แล้วพูดเพิ่มเติมว่า

นอกจากนี้เรายังได้รับเกียรติจาก คุณยิ่งยง ยอดบัวงาม ศิลปินนักร้องลูกทุ่งชื่อดัง มาเล่าประวัติความเป็นมา ความภาคภูมิใจเกี่ยวกับศิลปะการแสดงกันตรึม อย่างออกรสออกชาติ
แถมยังเปิดใจ พร้อมให้โอกาสพิเศษ ส่งเสริมสนับสนุนเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่มีพรสวรรค์
ในด้านกันตรึม มาออกเทปด้วย
ถ้าอยากเห็นว่ากันตรึม แบบ “ดงมันรักกันตรึม” ศิลปะการแสดงของเยาวชนอีสานใต้ สนุกสนานแค่ไหน ติดตามได้ในรายการไทยโชว์ ตอน ดงมันรักกันตรึม วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม 2552 เวลา 20.20 น. ทางทีวีไทย (ไทยพีบีเอส)

แนะนำรายการไทยโชว์ได้ที่ thaishow@thaipbs.or.th

วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

คมสันต์ สุทนต์ ร่วมอภิปราย วันครบรอบ 79 ปี กิจการวิทยุกระจายเสียงในประเทศไทย




คมสันต์ สุทนต์ ร่วมอภิปราย วันครบรอบ 79 ปี กิจการวิทยุกระจายเสียงในประเทศไทย

ผ่านไปแล้วเมื่อวานนี้ วันครบรอบ 79 ปี ของกิจการสถานีวิทยุกระจายเสียงในประเทศไทย วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2552 ซึ่งมีการส่งวิทยุกระจายเสียงครั้งแรก เมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 2473 โดย พลเอกพระบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน พระบิดาแห่งกิจการวิทยุกระจายเสียงไทย

ในช่วงเช้า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไปทำพิธีเปิดงาน ในช่วงบ่ายมีรายการอภิปราย พิเศษ เรื่อง “วิทยุกระจายเสียงไทย อดีต ปัจจุบัน และอนาคต” โดยมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พงษ์ วิเสธสังข์ จากคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ และ นายคมสันต์ สุทนต์ จากTrue Music Radio 93.5 และมี คุณจิระวรรณ ตันกุรานันท์ เป็นผู้ดำเนินการอภิปราย ที่ห้องส่ง เอฟเอ็ม 92.5 เมกะเฮิร์ตซ์ และได้มีการถ่ายทอดสดภาพ และเสียงทางอินเทอร์เน็ต ที่ http://nbt.prd.go.th ตลอดรายการ

ขณะออกอากาศ ON AIR


ผู้ร่วมอภิปรายออกอากาศวันครบรอบ 79 ปี
เรื่อง “วิทยุกระจายเสียงไทย อดีต ปัจจุบัน และอนาคต”