วันอังคารที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2553

คมสันต์ สุทนต์เชิญชมไทยโชว์ ตอน ประวัติศาสตร์แห่งปี “อาคารดนตรีส่วนพระองค์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี” อาทิตย์ที่ ๔ และ ๑๑ เมษายนนี้

ข่าวประชาสัมพันธ์ไทยโชว์

ครั้งแรกของคนไทย ที่จะได้ชมอาคารดนตรีส่วนพระองค์ฯ ณ พระตำหนักสวนปทุม จ.ปทุมธานี พร้อมกันทั้งประเทศ ซาบซึ้งในพระอัจฉริยภาพทางดนตรีและแนวพระราชดำริ “อนุรักษ์ สะสม ส่งเสริม”ศิลปวัฒนธรรมไทย ..ในรายการไทยโชว์ ตอน อาคารดนตรีส่วนพระองค์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี วันอาทิตย์ที่ ๔ และ ๑๑ เมษายน ๒๕๕๓ เวลา ๑๘.๐๐ น.
คมสันต์ สุทนต์ ผู้ดำเนินรายการไทยโชว์ เริ่มต้นเล่าความประทับใจครั้งสำคัญให้ฟังว่า
ผมและทีมงานไทยโชว์ทุกคนรวมถึงผู้ดำเนินรายการรับเชิญพิเศษคุณปานเกศ ศาตะมาน ต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และซาบซึ้งในพระเมตตา ที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระราชทานพระราชานุญาต ให้ทีมงานรายการไทยโชว์ สถานีโทรทัศน์ทีวีไทย ได้ถ่ายทำ ณ อาคารดนตรีส่วนพระองค์ อาคารศรีโกสุม พระตำหนักสวนประทุม จ.ปทุมธานี เพื่อนำเสนอพระอัจฉริยภาพทางด้านดนตรีและร่วมเทิดพระเกียรติฯ เนื่องในวโรกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี รวมทั้งให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้ตระหนักถึงคุณค่าของศิลปวัฒนธรรมและเกิดแรงบันดาลใจในการค้นคว้าเพื่อศึกษาสืบสานศิลปวัฒนธรรมของไทยต่อไปครับ

สิ่งที่ผมสัมผัสได้เลยเมื่อได้ก้าวเข้ามา ณ อาคารดนตรีส่วนพระองค์ อาคารศรีโกสุม คือความสงบร่มรื่นของหมู่แมกไม้และอาคารโทนสีขาวเรียบง่าย ทุกห้องใช้แอร์ธรรมชาติ โถงด้านล่างกว้างขวาง ซึ่งวางวงปี่พาทย์ไว้ได้ถึง 3 วง ผมและทีมงานไทยโชว์ได้รับความกรุณาจากคุณสิธนา วสุธาร และคุณสาทร วสุธาร ผู้ดูแลอาคารดนตรีส่วนพระองค์ พระตำหนักสวนปทุม และ ดร.สิริชัยชาญ ฟักจำรูญ พาเยี่ยมชมและอธิบายอย่างละเอียด โดยเริ่มจาก..
“ห้องครู” ห้องนี้เป็นห้องแรกที่ผู้มาเยือนจะต้องเข้ามากราบไหว้พระ ศรีษะเทพ ครูบาอาจารย์ก่อน จากนั้นก็เป็น

“ห้องงา” ห้องนี้งาสมชื่อครับ เพราะเครื่องดนตรีจำนวนมากเกือบทุกชิ้น ทำจากงาจริงๆ แต่ที่ถือว่าเป็นชิ้นเอกเลยคือ ซอพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และ ซอที่พระสุจริตสุดา พระสนมเอก ในรัชกาลที่ ๖ นำมาทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย ซึ่งพระองค์ท่านเคยทรงใช้ออกงานมาโดยตลอด นอกจากนั้นยังมีรางระนาดเอก ระนาดทุ้มประดับงารูปแบบโบราณของบ้านพาทยโกศล ซอสามสายงาของเก่าสภาพสมบูรณ์หลายคัน ผมคิดในใจว่า น่าจะมีซักคันก็ได้ ที่เป็นซอสายฟ้าฟาด ซอคู่พระหัตถ์ในรัชกาลที่ 2 ที่รายการไทยโชว์เคยนำเสนอ (ตอนตามหาซอสายฟ้าฟาด)แต่ก็ยังไม่พบ? ...เดินต่อไปที่ห้องที่ 3

“ห้องนานาชาติ” ห้องนี้ต้องบอกว่าอลังการจริงๆ ครับ เพราะมีเครื่องดนตรีหลากหลายชนชาติไม่ว่าจะเป็นพื้นเมือง ดนตรีตะวันออก ดนตรีตะวันตก หรือแม้กระทั่งดนตรีชนเผ่าที่พระสหายทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย และที่พระองค์ท่านซื้อสะสมเอง แต่เครื่องดนตรีที่ตั้งตระหง่าน สะกดสายตาเลย คือซอกระป๋อง ซอคันเดียวกับที่คุณผู้ชมเคยเห็นในพระฉายาลักษณ์ ที่พระองค์ท่านทรงซอกระป๋อง ระหว่างที่ทรงศึกษาอยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ..ตู้ไม้ใกล้กันเป็นที่เก็บ ทรัมเป็ต เป็นเครื่องดนตรีที่พระองค์ท่านทรงร่วมวงสหายพัฒนา สังเกตตรง
ปากลำโพงด้านนอกจะมีสติกเกอร์รูปช้างน่ารักติดอยู่ด้วย และตู้มุมห้องฝั่งตรงข้าม เป็นที่เก็บ ไวโอลินพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ สมัยพระองค์ท่านยังทรงพระเยาว์... ต่อไปห้องที่ 4 ครับ

“ห้องพม่า-มอญ” ห้องนี้ตรงตาชื่อเลยครับ เป็นห้องที่เก็บเครื่องดนตรีพม่า และมอญชุดใหญ่มาก ที่มีผู้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย ดร.สิริชัยชาญ ให้ความรู้เพิ่มเติมว่า จริงแล้วพระองค์ท่านมีพระราชประสงค์ใช้ห้องนี้เป็นห้องบันทึกเสียง แต่ด้วยเครื่องดนตรีที่มีจำนวนมากจึงล้นมาถึงห้องนี้ด้วย....ห้องสุดท้ายที่พลาดไม่ได้เลยครับ

“ห้องคลังหมุนเวียน” ห้องนี้อยู่ชั้นใต้ดินมีระบบถ่ายเทอากาศกันความชื้น มีเครื่องดนตรีหลากหลายจำนวนมากมาย จัดเก็บเป็นหมวดหมู่ เพื่อใช้สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนไปวางในห้องต่างๆ ตามความเหมาะสม

คุณสิธนา วสุธาร และคุณสาทร วสุธาร ได้อธิบายเพิ่มเติมพระองค์ท่านทรงให้แนวพระราชดำริให้เก็บของทุกชิ้นเสมือนพิพิธภัณฑ์ คือให้จัดของเป็นระเบียบอย่างมีระบบ “ไม่ใช่เป็นพิพิธภัณฑ์โชว์อย่างเดียว แต่สามารถหยิบใช้ได้สะดวก มิฉะนั้นจะเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ไม่มีชีวิต..” ตัวอาคารสถานที่ หรือแม้กระทั่งชั้นวางต่าง ๆจะใช้วัสดุที่เรียบง่าย ราคาประหยัด เน้นประโยชน์ใช้สอยเป็นสำคัญ เครื่องดนตรีที่มีผู้ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย จะเก็บข้อมูลอย่างละเอียด พร้อมเก็บรักษาไว้ที่นี่เป็นอย่างดี “ของทุกชิ้นจะมีคุณค่ามากขึ้นหากเรารู้เรื่องราว ที่มาของของแต่ชิ้น..” และส่วนหนึ่งพระองค์ท่านก็จะพระราชทานต่อให้กับหน่วยงานสถาบันการศึกษาฯที่มีต้องการนำไปใช้ประโยชน์เพื่อการศึกษาหรือสืบสานศิลปวัฒนธรรมไทย....
คมสันต์ สุทนต์ เล่าเพิ่มเติมให้ฟังอีกว่า
นอกจากคุณผู้ชมรายการไทยโชว์จะได้ชม อาคารดนตรีส่วนพระองค์ แล้วยังมีโอกาสได้พูดคุยอย่างเป็นกันเองกับ ดร.สิริชัยชาญ ฟักจำรูญ พระอาจารย์ผู้ถวายงานสอนดนตรีไทย ในเรื่องพระอัจฉริยะภาพทางดนตรี และความประทับใจในพระอารมณ์ขัน ที่เชื่อว่ายังไม่เคยได้ยินมาก่อน ตัวอย่างเช่น “พระองค์ท่านทรงตื่นมาไล่ระนาดแต่เช้า ผมได้ยินเสียงระนาดจึงต้องรีบตื่นและรีบไปถวายงาน พระองค์ทรงขำพระอาจารย์ตื่นมาทำไมแต่เช้า..”เป็นต้น สลับกับการรับชมรับฟังบทเพลงพระราชนิพนธ์ของพระองค์ท่านที่ได้รับความนิยมอาทิ เพลงไทยดำเนินดอย, เพลงพระอาทิตย์ชิงดวง, เพลงชื่นชุมนุมกลุ่มดนตรี, เพลงชุดลมพัดชายเขา กล่อมนารี สร้อยเพลง, เพลงเต่าเห่ และเพลงส้มตำโดยได้มือซออู้ขั้นครูผศ.สุรพล สุวรรณ ที่เคยร่วมบันทึกเสียงกับ คุณพุ่มพวง ดวงจันทร์ และคุณสุนารี ราชสีมา มาร่วมคลอเคล้าเสียงสวยใส ของคุณอัยย วีรานุกูล โปรดิวเซอร์ไทยโชว์ ร่วมบรรเลงรับร้องดนตรีโดย วงกอไผ่ ตลอดรายการ

ชมอาคารดนตรีส่วนพระองค์ฯ ณ พระตำหนักสวนปทุม จ.ปทุมธานี พร้อมกันทั้งประเทศ ซาบซึ้งในพระอัจฉริยภาพทางดนตรีและแนวพระราชดำริ “อนุรักษ์ สะสม ส่งเสริม”ศิลปวัฒนธรรมไทย ..ในรายการไทยโชว์ ตอนอาคารดนตรีส่วนพระองค์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี วันอาทิตย์ที่ ๔ และ ๑๑ เมษายน ๒๕๕๓ เวลา ๑๘.๐๐ น.
ชมรายการย้อนหลังได้ทาง www.thaipbs.or.th/Thaishow

วันอังคารที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2553

คมสันต์ ไทยโชว์ ย้ำความแรงด้วย “แขกแดง ลิเกป่า โนราโกลน นครศรีฯ” อาทิตย์ 14 มีนาคมนี้






ข่าวประชาสัมพันธ์ไทยโชว์
คมสันต์ ไทยโชว์ ย้ำความแรงด้วย “แขกแดง ลิเกป่า โนราโกลน นครศรีฯ” อาทิตย์ 14 มีนาคมนี้

กระแสแรงไม่มีตกหลังจากไทยโชว์นำเสนอ “นักเลงเพลงบอก นครศรีธรรมราช” ผ่านไปไม่ทันข้ามสัปดาห์ บรรดาแฟนไทยโชว์กระหน่ำเมลบอกว่าดีใจที่ยังได้ดูเพลงบอกของดีที่หายาก ซึ่งกระตุ้นให้ท้องถิ่นเห็นความสำคัญ..ไทยโชว์ขอตอกย้ำว่าภาคใต้ยังมีโชว์ดีหลายหลาก อาทิตย์ 14 มีนาคมนี้เสนอ สองโชว์ควบ “ลิเกป่า จ.กระบี่ และโนราโกลน จ.นครศรีธรรมราช”

คมสันต์ สุทนต์ผู้ดำเนินรายการไทยโชว์ เล่าที่มาของโชว์ครั้งนี้ว่า
“แขกแดงเป็นชื่อตัวเอกของการแสดงลิเกป่า หรือบางทีก็เรียกว่าลิเกแขกแดง ลิเกรำมะนา หรือลิเกบก โดยนิยมเล่นกันในแถบจังหวัดพัทลุง กระบี่ ตรัง นครศรีธรรมราช สงขลา สตูล การแสดงจะเริ่มด้วยการโหมโรง "เกริ่นวง" ต่อจากนั้นแขกแดงก็จะออกมาเต้นและร้องประกอบ โดยลูกคู่จะร้องรับ จากนั้นจะมีผู้ออกมาบอกเรื่องราว..รูปแบบการเล่นและเครื่องดนตรีประกอบการแสดงเท่าที่ผมดูมีส่วนผสมของโนราห์กับดิเกร์ฮูลู และผมคิดว่าอาจเป็นต้นสายการร้องเพลงสิบสองภาษาของวงดนตรีไทยด้วยครับ
ลิเกป่าที่ไทยโชว์นำเสนอครั้งนี้เป็นคณะรวมมิตรบันเทิงศิลป์ อ.คลองเหนือ จ.กระบี่ มีครูตรึก ปลอดฤทธิ์ เจ้าของรางวัลผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรมพื้นบ้าน สาขาศิลปะการแสดง (ลิเกป่า) เป็นหัวหน้าคณะและรับบทเป็นแขกแดง ตัวสำคัญที่สร้างชื่อเสียงโด่งดังให้ครูตรึกมายาวนานตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. 2500”

“ส่วนการแสดงโนราโกลน นั้นเป็นการเล่นล้อเลียนโนราจริงๆ ชนิดที่ว่า ตลกเข้าเส้น จะรำร้องเล่นก็เน้นเรียกเสียงฮาเป็นหลัก เครื่องแต่งกายก็ออกแบบอย่างบ้านๆจนขั้นสัปดนด้วยซ้ำ ซึ่งมีลักษณะไม่พิถีพิถันอ่อนหวาน นุ่มนวลเหมือนโนราแท้ แต่ก็ยังเห็นเค้าเนาโคลงอยู่บ้างเลยเรียกว่า โนราโกลน

คมสันต์ สุทนต์ กล่าวปิดท้ายสองโชว์ควบว่า
“ที่สำคัญเลยคือ รองศาสตราจารย์ ดร.สืบพงศ์ ธรรมชาติ ผู้อำนวยการอาศรมวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ นครศรีธรรมราช และคณะได้พาทีมงานไทยโชว์ดั้นด้นขับรถลัดเลาะป่ายางไปที่ ตะเข็บอำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช ไปเยี่ยมเยียนพูดคุยกับบรมครูโนราโกลน ครูเพิ่ม ช่วยภิบาล หัวหน้าคณะไขนวน ชวนสนุก และได้ชมการแสดงสาธิตโนราโกลนของคณะคณะ ศ.สามศิลป์ ที่เล่นโชว์กันดิบๆกลางลานดินข้างบ้านซึ่งได้บรรยากาศไปอีกแบบหนึ่งครับ”

พลาดไม่ได้ รายการไทยโชว์ สองโชว์ควบ “แขกแดง ลิเกป่า โนราโกลน นครศรีฯ”วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม 2553 เวลา 18.00 น. ชมรายการย้อนหลังได้ทาง www.thaipbs.or.th/Thaishow






วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2553

รำโทนบ้านหน้าวัดโบสถ์ อำเภอสามโก้ จังหวัดอ่างทอง

ชื่อผู้วิจัย คมสันต์วรรณวัฒน์ สุทนต์
ปี 2541
ผลงานวิจัย ภาคกลาง

จุดมุ่งหมายในการวิจัยเพลงรำโทนบ้านหน้าวัดโบสถ์ อำเภอสามโก้ ครั้งนี้เพื่อรวบรวมข้อมูล ในรูปแบบโน้ตสากล ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้สนใจด้านดนตรีพื้นบ้านทั้งระดับประเทศและสากล โดยรวบรวมข้อมูลจากวิทยากรพ่อเพลงแม่เพลงท้องถิ่นจำนวน 7 ท่าน รวบรวมเพลงรำโทนได้ทั้งหมด 102 เพลง จำแนกประเภทของเพลงเป็นช่วงเคารพนบนอบ 3 เพลง ช่วงชักชวนร่ายรำร้องเพลง 10 เพลง ช่วงเข้าเนื้อหา แบ่งย่อยเป็นเกี่ยวกับความรัก 76 เพลง เกี่ยวกับรบ 5 เพลง เกี่ยวกับวรรณคดี 6 เพลง และช่วงร่ำลาอาวรณ์ 2 เพลง แต่พ่อเพลงแม่เพลงจะแบ่งเป็นสามลักษณะ คือ รัก รบ และจากลา คณะรำโทนบ้านหน้าวัดโบสถ์ ได้นำกลองรำมะนาแบบรำตัด มาตีแทนกลองโทน ทั้งนี้เพราะมีเสียงที่กังวาลกว่า แต่ก็ยังเรียกติดปากว่า เพลงรำโทนเหมือนเดิม พ่อเพลงแม่เพลงส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตร มีพื้นฐานในการร้องเพลง จากการได้ฟังเพลงมาตั้งแต่ยังเด็ก การแต่งกายในการเล่นรำโทนก็ไม่ได้จำเพาะเจาะจงแต่อย่างใด สุดแต่ว่าความสะดวก แต่เน้นชุดที่สุภาพเรียบร้อย เนื้อหาเพลงส่วนใหญ่ เกี่ยวข้องกับความรัก จุดเด่นของเนื้อเพลงรำโทนบ้านวัดโบสถ์ โดยรวมก็คือ มีถ้อยคำที่สุภาพไม่มีคำหยาบ ท่วงทำนองเพลงรำโทนส่วนใหญ่จะกระชับ ระดับความเร็วจังหวะหลัก ที่ใช้ส่วนใหญ่อยู่ระหว่าง 65-70 ต่อนาที เนื้อร้องบางเพลง มีการล้อเลียนเสียงเครื่องดนตรีหลายชนิด อาทิ ซอ พิณ ระนาด ฆ้องวง กลองรำมะนา เพลงรำโทนหลายเพลงได้หยิบยืมเพลงไทยเดิมมาใส่เนื้อเต็ม บันไดเสียงในการขับร้องส่วนใหญ่ จะใช้บันไดเสียง ซีเมเจอร์ และมีบันไดเสียงเอฟไมเนอร์บ้างไม่มากนัก ทำนองเพลงส่วนใหญ่ จะใช้เสียงหลักจำนวน 5 เสียง คือ โด เร มี ซอล ลา ซึ่งทำนองเพลงพื้นบ้านทั่วโลกต่างก็มีเสียง ทำนองหลัก 5 เสียงเหมือนกัน รำโทนมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างชัดเจน กับการเมืองในยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม หลายบทเพลงแต่งขึ้น เพื่อปลุกใจให้คนไทยมีความรักชาติ ให้เชื่อในตัวผู้นำ แต่งกายให้เป็นแบบสากล และเนื้อร้องบางเพลงยังบรรยายถ่ายทอดให้เห็นภาพเหตุการณ์ในสงครามโลกครั้งที่สอง การแพร่กระจายเข้ามาของเพลงรำโทนในเขตบ้านวัดโบสถ์ สันนิษฐานว่ามาจากจังหวัดลพบุรี พร้อมๆ กับการกลับมาของทหารที่ปลดประจำการ ส่วนหนึ่งของเนื้อร้องเพลงเชียร์รำวงเพลงลูกทุ่ง ล้วนได้รับอิทธิพลมาจากเพลงรำโทนทั้งสิ้น เพลงรำวงมาตรฐานของกรมศิลปากร เกือบนับสิบเพลงก็นำเพลงรำโทนของชาวบ้านมาปรับปรุง แม้แต่คุณครู เอื้อ สุนทรสนานก็ยังนำเพลงรำโทนมาเป็นแนวทางในการสร้างเพลงรำวงสุนทราภรณ์
http://www.culture.go.th/research/center/41_6.html